วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551

ขุดแต่งโบราณสถานเขาคลังนอกที่ศรีเทพครับ

เขาคลังนอกเป็นโบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองศรีเทพ ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณศรีเทพไปทางด้านทิศเหนือประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ อยู่ในท้องที่บ้านสระปรือ ตำบลศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๘๐ ตอนที่ ๒๙ ลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๐๖ หน้า ๘๕๙ สภาพปัจจุบันเมื่อยังไม่ได้มีการขุดแต่งและบูรณะ มีลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่ กว้างประมาณ ๑๒๐ เมตร ยาวประมาณ ๑๕๐ เมตร และสูงประมาณ ๗๐ เมตร ลักษณะคล้ายกับภูเขาขนาดย่อมๆลูกหนึ่ง บริเวณตอนกลางบนยอดสุดมีหลุมซึ่งเกิดจากการลักลอบขุดเป็นโพรงลงไป จากลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ปรากฏสันนิษฐานได้ว่า คงมีลักษณะเป็นศาสนสถานเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดีที่มีความสำคัญเคียงคู่กันกับโบราณสถานเขาคลังใน ที่ตั้งอยู่ภายในเมืองโบราณศรีเทพ

สภาพของโบราณสถานเขาคลังนอกขณะดำเนินการขุดแต่ง

จากการขุดแต่งที่ลอกเฉพาะส่วนด้านทิศตะวันออกของโบราณสถานเขาคลังนอก ปรากฏให้เห็นฐานอาคารที่มีขนาดใหญ่กว่า เขาคลังใน ที่อยู่ภายในเมืองศรีเทพ สันนิษฐานว่าน่าจะมีการเริ่มสร้างในสมัยทวารวดี มีอายุประมาณพันกว่าปี บริเวณพื้นที่รอบๆโบราณสถานเขาคลังนอกจากการเดินสำรวจพบลักษณะของโบราณสถานขนาดย่อมๆ ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นโบราณสถานรูปแบบใดและสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านใด เนื่องจากยังไม่มีการขุดแต่งแต่อย่างใด สภาพพื้นที่ยังมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมอย่างมากในด้านทิศตะวันตก ส่วนทางด้านทิศเหนือมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมเป็นส่วนน้อย สามารถมองเห็นร่องรอยของการก่ออิฐที่มีการเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบได้


พวกเรานักศึกษาฝึกงานขุดตรวจบริเวณลานประทักษิณด้านบน ก่อนเริ่มต้องทำการปรับพื้นที่บริเวณที่ทำงาน


ขณะทำการขุดแต่งโดยใช้จอยสลับกับเกรียงในการขุดแต่ง


ขณะทำการขุดแต่งในระดับประมาณ 30-40 CM.DT


น้องมดกับเริ่มลังเลกับแชมป์


วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2551

พงตึก : ชุมชนโบราณสมัยทวารวดีที่กาญจนบุรี



พงตึกเป็นชุมชนโบราณที่ไม่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบเหมือนกับเมืองโบราณสมัยทวารวดีอื่นๆ ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำแม่กลอง ในเขตอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ชื่อของพงตึกได้รับการกล่าวถึงในหลักฐานทางด้านวรรณกรรมมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นในนิราศพระแท่นดงรังของสามเณรกลั่นซึ่งเป็นลูกศิษย์ของสุนทรภู่กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เนื้อความของนิราศพระแท่นดงรังกล่าวถึงการเดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรังกับท่านสุนทรภู่ โดยการเดินทางครั้งนี้ไปโดยทางเรือที่ล่องไปตามลำน้ำแม่กลอง เมื่อผ่านมาถึงพงตึกสามเณรกลั่นเกิดความสงสัยในชื่อพงตึก จึงได้ไต่ถามท่านผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งน่าจะเป็นชาวบ้านในละแวกนั้นได้ความว่า เป็นตึกพราหมณ์ครั้งแผ่นดินโกสินรายณ์ ตึกนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำคนจึงเรียกว่าพงตึกสืบต่อกันมา จะเห็นได้ว่ามีคำที่เกี่ยวข้องกับอินเดียสองคำก็คือคำว่าพราหมณ์และโกสินรายณ์ ซึ่งทำให้สันนิษฐานต่อไปได้ว่าผู้คนในสมัยก่อนคงรับรู้ได้ว่าบริเวณแถบนี้ในสมัยโบราณมีการติดต่อกับอินเดียมาแล้วและมีพราหมณ์ที่เดินทางเข้ามาในแถบนี้ จึงจดจำและเล่าสืบต่อกันมา


การขุดค้นทางโบราณคดีที่พงตึกนี้ มีสาเหตุมาจากการลงข่าวในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ ฉบับวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2470 ว่าชาวนาในจังหวัดราชบุรี (เดิมพงตึกขึ้นอยู่กับจังหวัดราชบุรี) ได้ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ขนาดใหญ่ฝังอยู่ร่วมกับพระพุทธรูปเงินและทอง เมื่อประชาชนทั่วไปทราบข่าวจึงพากันแห่ไปขุดเพื่อสมบัติอื่นๆกันอย่างมากมายเป็นเหตุให้โบราณวัตถุต่างๆและโครงกระดูกถูกรบกวนจนไม่เหลือสภาพเดิม เมื่อทางราชบัณฑิตยสภาทราบข่าว สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงมีรับสั่งให้ ศ.ยอร์ช เซเดส์ เดินทางไปสำรวจซึ่งผลจากการไปสำรวจครั้งนี้ทำให้ได้พบโบราณวัตถุหลายประเภทที่ชาวบ้านขุดขึ้นมาและนำมาให้ชม เช่น พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ถ้วยดินเผา ตะเกียงโรมันสำริด ซึ่ง ศ.ยอร์ช เซเดส์ ก็ได้นำตะเกียงโรมันสำริดกลับมาที่กรุงเทพในเวลาต่อมา
หลังจากนั้นจึงได้มีการขุดค้นที่พงตึกขึ้นตามหลักวิชาโบราณคดีในวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2470 โดยนาย Signor Manfredi เป็นหัวหน้าในการขุดค้นครั้งนี้ หลังจากนั้นไม่กี่วันสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมชมการขุดค้นที่พงตึกและในครั้งนี้พระองค์ก็ทรงได้โบราณวัตถุที่ชาวบ้านลักลอบขุดไปในครั้งแรกกลับมาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเกือบทั้งหมด สำหรับการขุดค้นในครั้งนี้ทำให้พบซากอาคารขนาดเล็ก 2 แห่ง แห่งแรกมีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ 6 เมตร และอาคารอีกแห่งตั้งอยู่บนฐานกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 9 เมตร ซึ่ง ศ.ยอร์ช เซเดส์ สันนิษฐานว่า อาคารที่มีฐานกลมนั้นน่าจะเป็นฐานของสถูปและฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นฐานของศาสนสถานเล็กๆ ฐานอาคารทั้งสองแห่งนี้มีการประดับตกแต่งด้วยประติมากรรมลวดลายปูนปั้นอย่างสวยงาม และชิ้นส่วนปูนปั้นบางชิ้นปัจจุบันได้รับการเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร สถานที่อีกแห่งที่ค้นพบตะเกียงโรมันสำริดที่เรียกว่าสวนกล้วยซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆกันนั้นได้พบฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ 8 เมตร ใกล้ๆกับอาคารได้ค้นพบชิ้นส่วนดอกไม้ทองคำเป็นแผ่นบางๆ ซึ่ง ศ.ยอร์ช เซเดส์ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชิ้นส่วนที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมก่อนการสร้างศาสนาสถานคล้ายกับการฝังลูกนิมิตในปัจจุบันคือฝังไว้ใต้ศาสนาสถาน นอกจากนี้ยังพบฐานอาคารทรงกลมเล็กๆและฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในบริเวณที่เรียกว่าศาลเจ้าด้วยเช่นกัน

หลังจากการขุดค้นในครั้งนี้ห่างมาอีกประมาณสิบปีได้มีการค้นพบประติมากรรมเทวรูปพระวิษณุศิลาโดยบังเอิญจากการขุดดินทำถนนห่างจากศาลเจ้าไปทางตะวันออกประมาณ 200 เมตร องค์เทวรูป มีความสูงจากพระบาทจนถึงพระเศียร 80 เซนติเมตร เป็นพระวิษณุสี่กร ถือสังข์ จักร ธรณีหรือดอกบัวและคฑาตามแบบอินเดีย ศ.มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ได้ทรงตั้งข้อสังเกตว่าเทวรูปองค์นี้แปลกจากเทวรูปพระวิษณุองค์อื่นๆคือพระเกศาที่ทำเป็นรูปดอกบัวแทนที่จะสวมหมวกทรงกระบอกและจากลักษณะผ้าภูษาทรงสามารถกำหนดอายุได้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 หรือ 14 เทวรูปพระวิษณุองค์นี้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นร่องรอยของศาสนาพราหมณ์ที่ปรากฏในพื้นที่ภาคตะวันตกที่มีอายุร่วมสมัยกับวัฒนธรรมทวารวดีได้เป็นอย่างดี ศ.ยอร์ช เซเดส์ ได้กำหนดอายุของโบราณวัตถุ เช่น พระพุทธรูปสำริดที่ค้นพบที่พงตึกว่าน่าจะเป็นศิลปะอินเดียแบบคุปตะที่มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 ซึ่งจะพบพระพุทธรูปในลักษณะนี้ได้ในหลายเมืองโบราณสมัยทวารวดี และนอกจากอิทธิพลศิลปะแบบคุปตะแล้วก็ยังมีอิทธิพลของศิลปะแบบอมราวดีหลงเหลืออยู่บ้างในพระพุทธรูปบางองค์ที่ขุดพบบริเวณสวนกล้วย ที่มีลักษณะของจีวรที่เป็นริ้ว ในส่วนของตะเกียงโรมันสำริดนั้น ศ.ยอร์ช เซเดส์ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสินค้านำเข้ามาในสมัยอินโด-โรมัน ของอินเดีย จากโบราณวัตถุและโบราณสถานที่ค้นพบที่พงตึกนี้พอจะสรุปได้ว่าชุมชนโบราณที่พงตึกนี้มีการติดต่อค้าขายกับอินเดียมาตั้งแต่สมัยอินโด-โรมัน คือประมาณพุทธศตวรรษที่ 5 - 9 และนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลักโดยมีศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายเจือปนอยู่บ้างซึ่งก็อาจจะมีผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ที่เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานหรือค้าขายอยู่ที่พงตึกในช่วงเวลาประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14 ตามการกำหนดอายุของประติมากรรมพระวิษณุที่ค้นพบในบริเวณพงตึกแห่งนี้นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2551

โกนารัก เทวสถานพระสุริยะเทพ



พระสุริยะเทพนั้นเป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญในอารยธรรมโบราณของโลกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นกรีกที่รู้จักกันในนามของเทพอพอลโล หรืออียิปต์ที่ขนามว่า รา จึงถือได้ว่าพระสุริยะเทพได้รับการเคารพนับถือกันอย่างกว้างขวาง สำหรับในประเทศอินเดียเองนั้น พระสุริยะเทพปรากฎเป็นพระนามมาตั้งแต่สมัยพระเวทซึ่งเป็นยุคสมัยแรกของพัฒนาการทางศาสนาพราหมณ์ในประเทศอินเดีย และในยุคต่อมาคือยุคปุราณะฐานะของพระสุริยะเทพก็ค่อยๆลดบทบาทลงมา จากในสมัยพระเวทที่เคยเป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญในอันดับต้นๆ ก็ถูกลดฐานะลงมาเป็นเทพนพเคราะห์แทนในยุคปุราณะ แต่พระองค์ก็ยังมีผู้นับถือเป็นนิกายอิสระชื่อนิกายเสาระ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 5 นิกายของศาสนาพราหมณ์ที่กลายมาเป็นศาสนาฮินดู ซึ่งประวัติความเป็นมาของพระสุริยะเทพและรายละเอียดนั้นจะขอกล่าวถึงในตอนต่อไป

การค้นพบเทวสถานโกนารักในระยะแรกเริ่ม

เทวสถานแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้แนวชายฝั่งทะเลของรัฐโอริสสาทางภาคตะวันออกของประเทศอินเดีย หลังคาทรงพีรามิดนั้นโดดเด่นตัดกับเส้นขอบฟ้าและแนวของต้นมะพร้าวอย่างงดงาม ซากปรักหักพังของเทวสถานแห่งนี้บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองและความลึกลับในอดีตได้เป็นอย่างดี มีเอกสารโบราณเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า มัทละ ปันชิ ซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์ของวิหาร จักรนารท ที่เมืองภูริ เอกสารโบราณชุดนี้มีหลายเล่มแยกเก็บเป็นมัดเรียกว่า นัทธิ เอกสารหมายเลข ๓๔ ได้บอกเล่าเรื่องราวในระยะแรกๆของการค้นพบเทวสถานที่โกนารักว่าเทวสถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์นรสิงห์ที่ ๑ แห่งราชวงศ์คงคา ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ราชวงศ์นี้มีอิทธิพลอยู่ในช่วง ประมาณ พ.ศ.๑๒๙๓ - พ.ศ.๑๗๙๓ ผู้ค้นพบเทวสถานแห่งนี้เป็นคนแรกคือราชครูแห่งโษภทตะสเฐ ซึ่งเป็นผู้ถือราชสิทธิ์จากราชวงศ์ มหาราษฎร์ แห่งแคว้นโอริสสา ราชครูผู้นี้มีนามว่า ปาปะ พรามครี เขาได้บันทึกเรื่องราวการเดินทางไปยังเทวสถานแห่งพระอาทิตย์ที่พังทลายอยู่กลางป่าไว้ว่า ตัวเราเองมีนามว่า ปาปะ พรามครี ได้รับทราบเรื่องราวที่น่าเชื่อถือได้เกี่ยวกับวิหารแห่งสุริยะเทพที่พังทลายอยู่กลางป่า ด้วยความที่ตัวเราเองศรัทธาในองค์พระสุริยะเทพ เราจึงปรารถนาที่จะได้เห็นวิหารแห่งนี้ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ ชิมันจิได้มอบเหรียญทอง 200 เหรียญให้กับเรา พร้อมกับคณะผู้ร่วมเดินทางซึ่งประกอบด้วย โกธะ-กรนะ นิลังภร และ ปัตตนายกะ พวกเราออกเดินทางโดยช้างสองเชือก เราท่องเที่ยวไปตามแนวชายฝั่งทะเล ข้ามแม่น้ำสองสาย เราไม่พบที่อยู่อาศัยใดๆเลย นั่นทำให้เราเริ่มคิดว่า วิหารจะมาสร้างในสถานที่ๆไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ได้อย่างไร ในทันใดนั้นเองก็ปรากฏเนินเขาหินขึ้นห่างจากพวกเราไปสองไมล์และนั่นก็คือวิหารแห่งสุริยะเทพนั่นเอง จากการที่เราได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อและความสำคัญของวิหารหลังนี้ ทำให้เรามีความกระตือรือร้นที่จะไปพบวิหารแห่งนี้อย่างมาก
นั่นคือการค้นพบในระยะแรกเริ่มของเทวสถานโกนารักที่ถูกทำลายและปกคลุมโดยผืนป่าไว้ทั้งหมด และการสำรวจในระยะต่อๆมาก็จะเป็นพวกชาวอังกฤษที่เข้ามาเมื่ออินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เมื่อนักสำรวจที่ชื่อ เฟอร์กัสสัน เดินทางมาที่โกนารักในปี พ.ศ.2380 ส่วนที่เป็นศิขระที่อยู่ถัดไปจากตัววิหารยังคงมีสภาพสมบูรณ์ แต่หลังจากนั้นประมาณ ๑ ทศวรรษต่อมาก็พังทลายลง ในปี พ.ศ.2425 เริ่มมีการถากถางพื้นป่าที่ขึ้นปกคลุมโบราณสถานแห่งนี้ ปี พ.ศ.2437 ประติมากรรมบางส่วนได้ถูกขนย้ายไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ที่เมืองกัลกัตตา ต่อมาในปี พ.ศ.2444 นักโบราณคดีจากเบงกอลได้มาทำการสำรวจขุดค้นเทวสถานแห่งนี้เพื่อทำการบูรณะ และเสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2453 อุปสรรคที่สำคัญในการบูรณะเทวสถานแห่งนี้ก็คือเกลือจากทะเลและราที่เกาะติดอยู่ตามหินแต่ละก้อน ต้นไม้ที่ปกคลุมอย่างมากมายก็เป็นตัวการในการทำลายเทวสถานแห่งนี้เช่นกัน
จากการที่นักปราชญ์และนักโบราณคดีได้เข้ามาสำรวจและศึกษาวิหารโกนารักแห่งนี้พวกเขาได้ใช้เทคนิควิธีการในการอนุรักษ์โบราณสถานให้กลับคืนสู่สภาพที่สมบูรณ์ และทำให้ผู้คนโดยรอบโกนารักและแคว้น โอริสสาได้ทราบว่าเทวสถานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายให้กับสุริยะเทพมาตั้งแต่ต้น ถึงแม้ว่าปัจจุบันเทวสถานแห่งนี้จะพังทลายลงไปบางส่วน แต่ก็ยังมีผู้คนเป็นพันๆมาเยี่ยมเยียนเทวสถานแห่งนี้ไม่ขาด และโดยเฉพาะช่วงที่เป็นเทศกาลวันกำเนิดแห่งสุริยะเทพ สำหรับการบูชาสุริยะเทพนั้นเริ่มแพร่ขยายอิทธิพลมาจากอิหร่านไปยังแถบตะวันตกและตะวันออกของอินเดียอย่างช้าๆ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในยุคแรกๆเกี่ยวกับการบูชาพระอาทิตย์ของโอริสสาคือจารึกบนแผ่นทองแดงที่ชื่อว่า สุมัณฑละ มีอายุประมาณ พ.ศ.1142 อยู่ในสมัยของกษัตริย์ที่ทรงพระนามว่ามหาราชาธรรมราชา จึงทำให้ความเชื่อที่ว่าการบูชาสุริยะเทพในรัฐโอริสสานั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณสืบต่อมาจากยุคพระเวทอย่างแน่นอน

สถาปัตยกรรมของโกนารัก

ปัจจุบันเทวสถานโกนารักตั้งอยู่ห่างจากเมืองภูวเนศวรประมาณ 37 ไมล์ ริมชายฝั่งทะเลของเมืองโอริสสา ช่างฝีมือใช้จินตนาการ ความคิดและความเข้าใจจากตำนานและคัมภีร์ในการสร้างเทวสถานแห่งนี้จากแนวคิดที่ว่า ม้าทรงแห่งพระอาทิตย์ลากราชรถเดินทางสู่สรวงสวรรค์ด้วยการเคลื่อนไหวที่งดงามและมีชีวิตชีวาเทวสถานแห่งนี้สร้างตามความเชื่อในองค์สุริยะเทพที่แพร่หลายอยู่โดยรอบบริเวณแถบนี้ เทวสถานโกนารักถูกโอบล้อมด้วยกำแพงใหญ่ ๓ ด้าน ม้าเจ็ดตัวที่ลากราชรถจะอยู่คนละด้าน ๓ ตัวอยู่ด้านทิศเหนือ อีก ๔ ตัวอยู่ในด้านทิศใต้ ในปัจจุบันเทวสถานแห่งนี้อยู่ในสภาพที่พังทลายแต่ก็ยังมีส่วนที่ยังคงสมบูรณ์อยู่ เช่น วิหารทรงพีรามิดที่รอบฐานจะมีซี่กงล้อรถจำนวน ๑๒ ล้อ แทนความหมายถึงราศีทั้ง ๑๒ ราศี แต่ละกงล้อจะมีความสูง ๑๐ ฟุต ที่ฐานกงล้อจะแกะสลักเป็นรูปช้างรองรับอย่างสวยงาม ส่วนที่เป็นห้องใหญ่ในการทำพิธีที่เรียกว่าจักรโมหนะ ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ส่วนที่พังทลายลงไปคือวิหารที่มีหลังคาทรงศิขระ เทวสถานแห่งโกนารักนี้มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่เป็นลักษณะที่เรียกว่าโอริเซียนสไตล์ ซึ่งเป็นลักษณะที่ปรากฏอยู่ในเทวสถานภายในแถบแคว้นโอริสสา เช่นที่ ภูวเนศวร หรือ ภูริ เป็นต้น
ส่วนที่เป็นวิหารนั้นฝาผนังแต่ละด้านและฐานวิหารได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม มีรูปแกะสลักเป็นลวดลายละเอียดเช่นรูป นางระบำหรือเทวทาสีซึ่งเป็นทาสรับใช้ของเทพเจ้าที่แสดงท่าทางของการร่ายรำในแบบฉบับของโอริสสา ส่วนอาคารอื่นๆที่อยู่ภายในบริเวณเดียวกับเทวสถานแห่งนี้ก็เช่น อาคารที่เรียกว่า นาถมณฑป ซึ่งจะตั้งอยู่ด้านหน้าเป็นส่วนทางเข้ามายังวิหารสุริยะเทพ ที่นี่จะมีรูปสลักเทวทาสีที่แสดงการร่ายรำหรือเล่นดนตรีสลักอยู่ที่ฝาผนัง
อาคารที่อยู่ทางด้านทิศใต้ที่เรียกว่า โพธิ์คมณฑป ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นส่วนที่ใช้สำหรับ ประกอบหรือจัดเตรียมอาหาร เพราะมีสิ่งก่อสร้างที่ใช้สำหรับกักเก็บน้ำและบ่อน้ำ ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวิหารหลังใหญ่ พบลักษณะอาคารที่น่าจะสำคัญรองลงมาเป็นอันดับสองและอาจมีอายุเก่าแก่กว่าตัววิหาร ซึ่งต่อมาจากการศึกษาก็ทำให้ทราบว่าอาคารหลังนี้สร้างอุทิศให้กับพระนางมายาเทวี ชายาของสุริยะเทพ อาคารหลังนี้ตั้งอยู่ใกล้กับวิหารหลังเล็กที่สร้างอุทิศให้กับพระวิษณุ

ประติมากรรมที่โกนารัก
ธรรมเนียมในการสร้างเทวสถานสักการะพระสุริยะเทพในช่วงประมาณกลางศตวรรษที่ ๑๓ ได้ถูกอิทธิพลศาสนาฮินดูไม่ว่าจะเป็นลัทธิ ไศวนิกายหรือไวษณพนิกาย เข้ามาแทนที่ ในระยะต่อมาการสร้าง เทวสถานจึงเป็นของศาสนาฮินดูเสียเป็นส่วนใหญ่ สำหรับเทวสถานแห่งโกนารักนั้นไม่ได้เป็นเจติสถานหรือเทวสถานของเทพองค์อื่นใดเลยนอกจากพระสุริยะเทพ แต่เทวสถานแห่งโกนารักก็มิได้มีแต่เฉพาะเทวสถานของพระสุริยะเทพเท่านั้น เมื่อกษัตริย์นรสิงห์ทรงสร้างเทวสถานแห่งนี้พระองค์ก็ยังได้ทรงสร้างอนุสรณ์เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการทำสงครามของพระองค์ไว้ที่นี่ด้วย ดังจะเห็นได้จากประติมากรรมเกี่ยวกับการสงคราม เช่น การรบด้วยม้าและช้าง บางรูปก็จะเป็นสิงโตขี่อยู่ตัวบนช้างซึ่งเสมือนเป็นสัญลักษณ์แทนชัยชนะของพระองค์ ประติมากรรมรูปช้างจะมีขนาดที่ใกล้เคียงกับช้างจริงๆ ซึ่งจะอยู่ทางด้านทิศเหนือของวิหาร ส่วนประติมากรรมรูปม้านั้นจะอยู่ทางด้านทิศใต้ แสดงท่าทางในลักษณะของการพ่ายแพ้สงคราม ส่วนประติมากรรมรูปสิงโตขี่ช้างจะตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าของนาถมณฑป
นอกจากประติมากรรมรูปการสู้รบแล้ว ยังมีประติมากรรมต่างๆอีกมากมายหลายชนิด เช่น รูปสลักเหล่าทวยเทพ เจ้าชาย ผู้บำเพ็ญพรต อราชกัญญา นาคา นาคินี และรูปคนคู่มิถุนา นอกจากนี้ก็ยังมีภาพสลักเล่าเรื่อง เช่น ภาพขบวนทหาร การล่าสัตว์ ฯลฯ และสุดท้ายประติมากรรมที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือองค์พระสุริยะเทพในอิริยาบถต่างๆ ที่ประตูทางเข้าวิหารทางด้านทิศตะวันออกมีทับหลังที่แสดงภาพแกะสลักเทพนพเคราะห์ คือเทพแห่งดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ นั่งอยู่บนช่องเล็กๆ นอกจากนั้นก็ยังมีภาพแกะสลักรูปพระสุริยะเทพมีสองพระกรประทับยืนอยู่บนรถะที่มีพระอรุณเป็นสารถีพร้อมกับม้าอีก ๗ ตัวทางด้านล่าง